ความรู้ ความคิด ไมตรีจิต ความดี ของ ศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
Friday, October 22, 2010
เจาะลึกค่าแรงขั้นต่ำ
มีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันดังนี้
ควรขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทหรือไม่?
ใน ความเห็นส่วนตัว ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน แรงงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำยังมีภาวะความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก โดยแรงงานไร้ฝีมือในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 6 จังหวัดได้รับค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 206 บาทต่อวัน ในขณะที่จังหวัดอื่นได้รับค่าจ้างลดหลั่นกันลงไป ถึงกระนั้น การขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมีปัจจัยและเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือ แรงงานควรได้รับค่าจ้างเท่ากับผลผลิตส่วนเพิ่มที่แรงงานผลิตได้ (หรือผลิตภาพของแรงงาน) หรือหมายความว่า แรงงานควรได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น หากสามารถผลิตได้เพิ่มขึ้น
Professor Kriengsak Chareonwongsak
credit by http://www.oknation.net/blog/kriengsak/2010/10/19/entry-2
Thursday, October 21, 2010
professor kriengsak chareonwongsak
ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานกรรมาธิการ การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหาร และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
การจัดทำร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 กำหนดวงเงิน 1.36 ล้านล้านบาท และเป็นนโยบายงบประมาณ แบบสมดุลต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2548
แต่กระนั้นการจัดสรรงบประมาณปี 49 เป็นงบเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนี้
1.งบนักฝัน เนื่องจากการที่รัฐบาลมีความเสี่ยงจะจัดเก็บรายได้ไม่ถึงเป้าตามที่ฝัน ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ ประการแรก การขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2548 จะขยายตัวไม่ถึง 4.5-5.5% ตามในเอกสารงบประมาณโดยสังเขป แต่จากการวิเคราะห์พบว่า เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเพียง 4% เนื่องจากสมมติฐานในการจัดทำงบประมาณปี 2549 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สมมติฐานแรก ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยตลอดปี 2548 อยู่ที่ 44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งไม่ตรงกับความจริง เพราะราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ย 5 เดือนแรกอยู่ที่ 43.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 50-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว ในขณะที่ครึ่งปีหลังความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันในช่วงปลายปีจะสูงสุดในรอบปี ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยทั้งปีจึงน่าจะสูงกว่า 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สมมติฐานที่สอง การส่งออกขยายตัว 18% เป็นไปได้ยาก เพราะ 4 เดือนแรกของปี 2548 มูลค่าการส่งออกเบื้องต้นขยายตัวเพียง 10.9% หากจะผลักดันการส่งออกตลอดปีนี้ให้ขยายตัว 18% การส่งออกในอีก 8 เดือนที่เหลือจะต้องเพิ่มขึ้นถึง 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สมมติฐานที่สาม นักท่องเที่ยวปี 2548 จะเพิ่มขึ้นเป็น 12.57 ล้านคน นับว่าเป็นไปได้ยาก เพราะนักท่องเที่ยวเข้าไทยใน 2 ไตรมาสแรก คาดว่ามีเพียง 5.29 ล้านคน
สองไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 จะต้องมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 18.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวในครึ่งหลังของปี 2547 และ 2546 ที่ขยายตัวเพียง 7.5% และ 4.2% ตามลำดับ
สมมติฐานสุดท้าย การเร่งเบิกจ่ายงบเพิ่มเติมปี 2548 และงบปี 2546-2547 ที่ยังค้างอยู่ไม่น้อยกว่า 80% เป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะงบส่วนใหญ่เป็นงบลงทุน และการเบิกจ่ายงบลงทุนในปีงบประมาณ 2548 ณ ปัจจุบัน มีการเบิกจ่ายเพียง 48.9% เท่านั้น ทั้งๆ ที่ผ่านมาแล้วเก้าเดือน
ประการที่สอง สัดส่วนรายรับรัฐบาลต่อ GDP จะลดลงจาก 17.3% เหลือเพียง 17% เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของปี 2549 จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในปี 2548 โดยเฉพาะภาษีที่จัดเก็บจากธุรกิจและประชาชนในปี 2549 จะคิดจากผลกำไรของธุรกิจและรายได้ของประชาชนในปี 2548
ดังนั้นหากเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 4% และปีหน้าขยายตัว 6% สัดส่วนการจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ 2549 อยู่ที่ 17% ต่อจีดีพี การจัดเก็บรายได้จะต่ำกว่าเป้าหมาย 1.36 ล้านล้านบาท ถึง 9.29 หมื่นล้านบาท ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะต้องแบกรับภาระการเรียกเก็บภาษีมากขึ้น
2.งบนักซ่อน การจัดทำงบประมาณปี 2549 ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว แต่รัฐบาลมีความต้องการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และต้องการจัดงบประมาณแบบสมดุล นำพาความเสี่ยงในการก่อหนี้สาธารณะ และภาระผูกพันมากขึ้น เพราะรัฐบาลพัฒนาวิธีการซ่อนหนี้ และภาระผูกพันมากขึ้น
การให้ธนาคารรัฐปล่อยกู้ตามนโยบายรัฐ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อโยกหนี้รัฐวิสาหกิจออกจากบัญชีหนี้สาธารณะ การจัดตั้ง SPV เพื่อกู้เงินจากเอกชน โดยไม่ปรากฏเป็นหนี้สาธารณะ รวมทั้งการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้มค่า ทำให้รัฐต้องอุดหนุนในระยะยาว ซึ่งการระดมทุนด้วยวิธีการเหล่านี้จะเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคตรวมกันอย่างน้อย 546,944 ล้านบาท และอาจกลายเป็นหนี้สาธารณะจำนวนมากในอนาคต หากเศรษฐกิจถดถอย
3.งบ Turn Key ในเอกสารงบประมาณระบุถึง งบประมาณของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ 9.46 หมื่นล้านบาท โดยหลายโครงการจะเริ่มต้นก่อสร้างในปีงบประมาณ 2549
การที่รัฐบาลต้องการเร่งผลักดังโครงการโดยที่ยังไม่มีแผนระดมทุนชัดเจน โดยที่ยังไม่มีการศึกษาและออกแบบโครงการ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะนำการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการเหมาแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Turn Key มาใช้ เพราะวิธีนี้มีข้อดี คือ การก่อสร้างได้เร็ว เพราะใช้วิธีออกแบบไปพร้อมกับการก่อสร้าง และผู้รับเหมาจะเป็นผู้รับผิดชอบในการระดมทุนเอง
แต่ข้อเสียของวิธีการนี้ คือ การออกแบบไปพร้อมๆ กับการก่อสร้าง จะทำให้การควบคุมและตรวจสอบงานทำได้ยาก และจะมีผู้รับเหมาน้อยรายที่จะมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดให้มีสิทธิเข้าแข่งขันในการประกวดราคา และอาจเกิดการรวบรัดขั้นตอนดำเนินงาน
บทความ ของ ศาสตราจารย์ ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ (Profressor Kriengsak Chareonwongsak, Senior Fellow at Harvard University's Center of Business and Government and an Associate) credit by www.kriengsak.com
Sunday, August 15, 2010
สร้างเมืองด้วยปัญญา ทำได้อย่างไร
professor kriengsak chareonwongsak |
ด้วยการนำเสนอ Idea : 2020 กรุงเทพในอีก 12 ปีข้างหน้า
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์เจริญศักดิ์ กับ Slowcan "DR.DAN can do.... สร้างเมือง ด้วยปัญญา"
ทั้งปัญหาเรื่องของความเป็นอยู่ การครองชีพ ปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากร ปัญหาของคนวัยเด็ก วัยทำงาน รวมไปจนถึงปัญหาของวัยเกษียณที่จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคุณจากปัจจุบัน ปัญหาความเสื่อมโทรม ปัญหาการจราจร ปัญหาสิ่งแวดล้อม และอีกมายมาย และเรานี่เองคือคนที่จะต้องอยู่เผชิญกับปัญหาเหล่านั้นในอนาคตที่ว่า.... -_______-*
โดยสรุปปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องมีคนที่เข้าใจ และเตรียมพร้อมการวางแผนเพื่อรับมือด้วยวิธีการที่ถูกต้องเท่านั้น ท่านนำเสนอตัวท่านเองเป็นตัวเลือกในการเข้ามาวางแนวทางต่างๆ ตั้งแต่วันนี้ เพื่อลดปัญหาในอนาคตเหล่านั้น ด้วยนโยบายในส่วนต่างๆ ที่น่าชื่นชม และเป็นนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้ เพียงแค่วันนี้คนกรุงเทพฯ จะมองเห็นและเข้าใจปัญหาต่างๆ เหล่านั้น และให้ความไว้วางใจท่าน ให้โอกาสให้ท่านและทีมงานได้เข้ามาพิสูจน์ตัวเอง และได้มีโอกาสผลักดันนโยบายเหล่านี้ให้เกิดขึ้น
"ใช้ “ปัญญา” สร้างเมือง มิใช่การขายนโยบายโดนใจให้คนเลือกเราไปทำหน้าที่ แต่ให้คนกรุงเทพฯทุกคนเห็นว่า เมื่อเลือกผู้ที่จะนำนโยบายเหล่านี้ไปทำอนาคตกรุงเทพฯในรุ่นอายุเรานี้ รวมทั้งสิ่งที่จะเหลือเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลานของพวกเขานั้นจะอยู่ในสภาพเช่นไร.."
ในเบื้องต้นส่วนตัวของตัวเอง ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับบุคคลท่านนี้มากนัก
แต่หลังจากคืนนั้น ก็ได้ลองหาข้อมูลของ ดร.ท่านนี้ ข้อมูลความสำเร็จในหลายๆ อย่าง ความคิดและแนวทางต่างๆ ผลงานที่มีในอดีตฯ โดยคร่าวๆ เห็นแล้วค่ะว่าตัวเองน่าจะลองให้โอกาสใครได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเมืองหลวงของเราให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ตามความคิดและแนวนโยบายที่ถูกต้องเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคตต่อไปข้างหน้าของเราและลูกหลานชาว กทม.
ที่สำคัญงานนี้ ไม่การพูดพาดพิงใคร ยกตนดีข่มคนอื่นด้อย กล่าวหาผู้อื่น หรือตำหนิติเตียนใคร อย่างที่เราเคยคุ้นกับสภาวะปกติของการหาเสียงเหมือนเช่นเคยค่ะ แค่การนำเสนอข้อมูล และวิธีการแก้ไขปัญหา การวางแผน นำเสนอนโยบาย และชี้ให้เราตระหนักกับปัญหาที่กำลังถาโถมเข้ามา และเสนอตนเองเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะป้องกันและบรรเทาปัญหาต่างๆ เหล่านั้น.. นี่ละ ที่ทำให้รู้สึกดีค่ะ
วิสัยทัศน์ที่ดี กับผู้นำที่ดี และนโยบายที่จับต้องได้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของทุกท่าน
ใคร..จะเป็นผู้ว่า กทม.คนต่อไป..ท่านเป็นผู้เลือกให้ตัวท่านเองค่ะ
ตัวเรา...รู้แล้วค่ะ ว่าคนนั้นเป็นใคร..
"กรุงเทพฯ.. สร้างได้ด้วยปัญญา.." เราจึงน่าจะลองใช้ปัญญากันหน่อยไหมคะ คนบ้านเราใช้กำลัง ใช้ฝีปากทำงานกันมานาน ลองฝึกมาใช้สมองกับสองมือ สองเท้าพัฒนาสังคมกันบ้าง น่าจะดี... ค่ะ
Wednesday, March 31, 2010
Professor Kriengsak Chareonwongsak Gentleman
Friday, January 22, 2010
เจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จของประเทศ
ความตื่นตาตื่นใจจากพิธีเปิด ndash; พิธีปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ที่เพิ่งจบไปเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา มีความยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งแสงสีประกอบการแสดง และการแสดงชุดต่าง ๆ ที่ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของชาวจีนที่ได้รับฝึกฝนมาอย่างดี จนดูเหมือนเกินความสามารถของคนธรรมดาทั่วไปที่จะทำได้
หากเจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จของประเทศเจ้าภาพอย่างจีนแล้ว เราจะยิ่งพบกับความน่าทึ่งในการเตรียมความพร้อมของคนในประเทศ ซึ่งไม่ใช่เพียงการเตรียมคนเพื่อกีฬาโอลิมปิคเท่านั้น แต่ได้สะท้อนถึงการพัฒนาคนตามศักยภาพ ความสามารถมาโดยตลอด เมื่อถึงเวลาต้องนำความสามารถเรื่องใดมาใช้ จึงรวบรวมคนเหล่านั้นมาพัฒนาฝึกฝน จนเกิดความชำนาญมากขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของประเทศในขณะนั้น
ผมเชื่อมั่นว่า คนไทยมีศักยภาพไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน ทั้งนี้ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากรัฐบาล โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนอันเป็นอนาคตของชาติ ยิ่งควรได้รับการส่งเสริมให้ค้นหาศักยภาพ ความสามารถของตนเอง พัฒนา ฝึกฝนจนเกิดเป็นทักษะ ความชำนาญ เป็นการเตรียมความพร้อมทรัพยากรมนุษย์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประเทศอย่างครบทุกด้าน
ส-ส่งเสริมค้นหาความถนัด รู้จักตนเองอย่างรอบด้าน รัฐอาจปรับปรุงระบบการศึกษาให้ส่งเสริมเด็กได้ค้นหาความชอบของตนผ่านกิจกรรม ที่หลากหลาย ทั้งในและนอกห้องเรียน เช่น การทำแบบทดสอบความสามารถ การเปิดโอกาสให้เด็กทำงานร่วมกัน เปิดเวทีกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้ ทั้งเชิงวิชาการ และกิจกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี ศิลปะ การแสดง กีฬา
ส-สนุกอย่างสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่กิจกรรม ปลดปล่อย ศักยภาพเชิงบวก รัฐบาลอาจร่วมมือกับเอกชน หน่วยงานต่าง ๆ เปิดพื้นที่กิจกรรมใกล้บ้านเช่น สวนสาธารณะ สวนหย่อม ห้างสรรพสินค้า เพื่อให้เด็กสามารถรวมตัวกันทำกิจกรรมที่ชอบ ได้แสดงออกตามความถนัดและความสนใจ อีกทั้งมีสถานที่สำหรับฝึกฝนทักษะของตนเองให้มีความชำนาญมากยิ่งขึ้น
ส-สนับสนุนพัฒนาศักยภาพ ต่อเนื่องจริงจัง โดยการ เชื่อมโยงความร่วมมือระหว่าง รัฐ โรงเรียน และเอกชน เพื่อส่งเสริมงบประมาณการจัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ จัดหาผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านฝึกอบรมในโปรแกรมต่าง ๆ เปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองทำในภาคปฏิบัติจริงในช่วงเวลาว่างหรือปิดภาคเรียน เพื่อให้เด็กได้รับการฝึกฝนในด้านนั้น ๆ อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ผมเชื่อว่า หากเราเริ่มต้นเตรียมความพร้อมของคน โดยค้นหา และพัฒนาศักยภาพอย่างจริงจัง เป็นระบบแล้ว ความฝันที่ว่า ประเทศของเราจะเป็นผู้นำในด้านต่าง ๆ บนเวทีโลก ทั้งด้าน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การกีฬา ฯลฯ คงไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป
credit by www.kriengsak.com